หลายคนเคยประสบกับสถานการณ์นี้: แม้จะเปิดใช้งานพร็อกซีและเปลี่ยน IP แล้ว ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ แต่แพลตฟอร์มยังคงสามารถระบุสภาพแวดล้อมเครือข่ายจริงได้ ในกรณีส่วนใหญ่ สาเหตุเกิดจากการรั่วไหลของ DNS แล้ว
ผู้ที่ทำอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกัน DNS leak มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับอุปกรณ์ทั่วไปอย่าง Windows, Mac และโทรศัพท์มือถือ ผู้ใช้จำนวนมากยังไม่รู้วิธีตรวจสอบการรั่วไหลของ DNS
ต่อไปนี้ เราจะแชร์คู่มือการตรวจสอบ DNS leak อย่างละเอียด ที่แม้แต่มือใหม่ก็สามารถเข้าใจได้ง่าย รองรับ Windows, Mac และอุปกรณ์มือถือ

DNS ทำงานเหมือน “สมุดรายชื่อ” ที่แปลงชื่อโดเมนให้เป็นที่อยู่ IP หากคุณใช้พร็อกซี แต่คำขอ DNS ยังถูกส่งผ่านเครือข่ายท้องถิ่น ก็เหมือนกับ “สวมหน้ากาก แต่เสียงของคุณยังถูกบันทึกอยู่”
ความเสี่ยงจาก DNS leak ได้แก่:
• ประวัติการท่องเว็บถูกมองเห็นโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)
• การเปิดเผยตำแหน่งจริงและ IP จริง
• เว็บไซต์สามารถระบุสภาพแวดล้อมจริงของคุณ ส่งผลต่อความปลอดภัยของบัญชี
• ประสิทธิภาพของการเข้าถึงข้ามประเทศและการท่องเว็บแบบส่วนตัวลดลงอย่างมาก
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือทำธุรกิจข้ามพรมแดน การตรวจสอบ DNS leak เป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม
การใช้เว็บไซต์ตรวจสอบ DNS leak ออนไลน์ (https://www.todetect.cn/) เป็นวิธีที่ง่ายและใช้กันมากที่สุด
ขั้นตอน:
เชื่อมต่อพร็อกซีหรือเครื่องมือ IP → เปิดเว็บไซต์ตรวจสอบ DNS leak → คลิก “Start Test” → ตรวจสอบข้อมูล DNS server ที่แสดงผล
เกณฑ์การตัดสิน:
• หากแสดง ISP ในพื้นที่ (เช่น China Telecom หรือ China Unicom) แสดงว่ามี DNS leak
• หากแสดงตำแหน่งพร็อกซีหรือ Public DNS (เช่น Cloudflare หรือ Google DNS) ถือว่าค่อนข้างปลอดภัย
แนะนำให้ใช้ร่วมกับเครื่องมือตรวจสอบ Browser Fingerprint ของ ToDetect ซึ่งไม่เพียงตรวจ DNS leak แต่ยังตรวจ IP ข้อมูลระบบ WebRTC และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย
จุดสำคัญในการตรวจสอบบน Windows:
• เปิดหน้าเว็บตรวจสอบ DNS leak ในเบราว์เซอร์
• รีเฟรชหลายครั้งและสังเกตว่า DNS เปลี่ยนหรือไม่
• สังเกตว่ามี DNS ของ IPv6 ปรากฏหรือไม่ (การรั่วไหลจำนวนมากเกี่ยวข้องกับ IPv6)
คำแนะนำในการป้องกัน DNS leak บน Windows:
• เปิดใช้งานตัวเลือก “DNS leak protection” ในซอฟต์แวร์พร็อกซี
• ปิดการใช้งาน IPv6 ของระบบ (ได้ผลดีในหลายกรณี)
• ตั้งค่า DNS ที่ปลอดภัยด้วยตนเอง (เช่น 1.1.1.1 หรือ 8.8.8.8)
หลายคนมองข้ามการตั้งค่า DNS ระดับระบบและพึ่งพาเฉพาะซอฟต์แวร์พร็อกซี ซึ่งมักไม่เพียงพอ
ผู้ใช้ Mac ดูเหมือนจะ “ซ่อนตัว” ได้ดีกว่า แต่ก็มีโอกาสพลาดได้ง่ายเช่นกัน
สาเหตุที่พบบ่อยของ DNS leak บน macOS ได้แก่ ระบบให้ความสำคัญกับ DNS ในพื้นที่ และการตั้งค่า DNS over HTTPS ในเบราว์เซอร์ไม่ถูกต้อง
คำแนะนำในการป้องกัน DNS leak:
• กำหนด DNS ด้วยตนเองในการตั้งค่าเครือข่าย
• เปิดใช้งาน Secure DNS (DoH) ในเบราว์เซอร์
• ตรวจสอบซ้ำเป็นประจำด้วยเครื่องมือตรวจ DNS leak
จากการทดสอบ พบว่าข้อมูล DNS มักเป็นหนึ่งในจุดที่ถูกเปิดเผยระหว่างการตรวจสอบ Browser Fingerprint บน Mac
• ปิด Wi-Fi และทดสอบหนึ่งครั้งโดยใช้เฉพาะข้อมูลมือถือ
• จากนั้นเชื่อมต่อ Wi-Fi + พร็อกซี และทดสอบอีกครั้ง
• เปรียบเทียบผลลัพธ์ของ DNS server
คำแนะนำในการป้องกันบนมือถือ:
• ใช้เครื่องมือพร็อกซีที่รองรับการป้องกัน DNS
• บน Android ตั้งค่า Private DNS (เช่น dns.google)
• บน iOS เปิดใช้งาน Secure DNS ที่มากับระบบ
หากคุณล็อกอินแพลตฟอร์มต่างประเทศผ่านมือถือบ่อย ๆ การตรวจสอบ DNS leak บนมือถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนคิดว่าแค่ DNS ไม่รั่วก็ปลอดภัยแล้ว แต่ความจริงยังไม่เพียงพอ
แพลตฟอร์มมักจะใช้ข้อมูล DNS, ที่อยู่ IP, Browser Fingerprint, เขตเวลา และภาษา มาประเมินร่วมกัน
ดังนั้นจึงแนะนำให้ทำการตรวจสอบ Browser Fingerprint แบบครบถ้วนด้วยเครื่องมือของ ToDetect ควบคู่ไปกับการตรวจ DNS leak เพื่อค้นหาจุดเสี่ยงที่ซ่อนอยู่อื่น ๆ
DNS leak ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งค่าเพียงครั้งเดียวแล้วจะปลอดภัยตลอดไป การอัปเดตระบบ การอัปเกรดเบราว์เซอร์ และการเปลี่ยนพร็อกซี ล้วนทำให้การตั้งค่าเดิมใช้ไม่ได้
ควรทำให้การตรวจสอบ DNS leak เป็นนิสัยทุกครั้งที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเครือข่าย และใช้ร่วมกับเครื่องมือตรวจสอบ Browser Fingerprint ของ ToDetect หากพบความผิดปกติ ให้ปรับการตั้งค่า DNS และพร็อกซีทันที
ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยอาจดูซับซ้อนหรือเรียบง่ายได้—กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าคุณใส่ใจตรวจสอบรายละเอียด “ที่มองไม่เห็น” เหล่านั้นมากแค่ไหน
AD